นายหน้า
คดีนายหน้า
นายหน้า คือ สัญญาที่บุคคลผู้หนึ่งตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญา หรือจัดการให้ได้ทำสัญญากัน และบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบใช้ค่าบำเหน็จ ก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น แต่ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้มีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อน ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว และนายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไป ก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น และให้ใช้บังคับถึงแม้ว่าสัญญาจะมิได้ทำกันสำเร็จ
กรณีไม่ได้ตกลงค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ : กฎหมายให้ถือว่าตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติ ซึ่งอยู่ที่ 3 - 5 % ของราคาซื้อขาย
เอกสารประกอบการยื่นฟ้อง
1. สัญญาว่าจ้าง / แต่งตั้งนายหน้า
2. โฉนดที่ดิน / หนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ห้องชุด
3. สัญญาจะซื้อจะขาย / สัญญาซื้อขาย
4. หลักฐานการชำระเงิน ค่ามัดจำ
5. ภาพถ่ายการทำงานของนายหน้า เช่น ลงพื้นที่ , นัดประชุม , นัดเซ็นสัญญา , อำนวยความสะดวกวันโอน เป็นต้น
6. บัตรประจำตัวประชาชน บุคคลที่เกี่ยวข้อง
7. หนังสือบอกกล่าว
รูปแบบคดี
1. คดีมโนสาเร่ ยอดหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท --- ศาลแขวง
2. คดีแพ่งสามัญ หรือคดีไม่มีข้อยุ่งยาก ยอดหนี้เกิน 300,000 บาท --- ศาลแพ่งหรือศาลจังหวัด
ค่าขึ้นศาล : 2% ของทุนทรัพย์หรือจำนวนเงินที่เรียกร้อง เว้นคดีมโนสาเร่ เสียไม่เกิน 1,000 บาท
เขตอำนาจศาล : มูลคดีเกิด หรือสถานที่ทำสัญญา หรือตามภูมิลำเนาของจำเลย
อายุความ : 10 ปี ตาม ป.พ.พ. ม.193/30
ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา ที่น่าสนใจ
ประเด็น : นายหน้าเพียงแต่ชี้ช่อง พาไปดูทรัพย์สิน ติดต่อ จัดการให้ได้ซื้อขายกัน ถือว่าสมบูรณ์ มีสิทธิได้รับบำเหน็จ แม้ต่อมาคู่สัญญาซื้อขายจะผิดสัญญาไม่โอนกันก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3181/2536
นายหน้าตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 นั้น ได้แก่ผู้ชี้ช่องให้ได้มีการเข้าทำสัญญากันหรือผู้ที่จัดการให้ได้ทำสัญญากัน และนายหน้ามีสิทธิได้รับบำเหน็จ ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันเสร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น การที่ ก. ได้พา ส. ผู้ซื้อไปพบจำเลยที่ 4 ผู้ขายและพากันไปดูที่ดิน และต่อมาได้มีการซื้อขายกันเนื่องมาจากการชี้ช่องดังกล่าว ก. จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ โดยไม่จำเป็นที่ ก.จะต้องอยู่ด้วยในการเจรจาซื้อขายทุกๆ ครั้ง แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2610/2521
จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดิน ค่านายหน้าร้อยละ 5 โจทก์เสนอขายให้ ส. ราคาตามที่จำเลยกำหนด จำเลยไม่ขาย บุตรของจำเลยติดต่อกับ ส. คราวนี้จำเลยขายในราคาเดียวกัน ดังนี้ เป็นการที่บุตรจำเลยกับจำเลยร่วมกันถือเอาประโยชน์จากการที่โจทก์ติดต่อกับ ส. ไว้ การซื้อขายสำเร็จเนื่องแต่การชี้ช่องของโจทก์ โจทก์มีสิทธิได้ค่านายหน้าจากจำเลยส่วน ส. ไม่มีสัญญานายหน้า ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์
ประเด็น : ตกลงกันด้วยวาจา ก็สามารถฟ้องบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4352/2545
โจทก์ติดต่อกับจำเลยและเจ้าของที่ดินทั้ง 4 แปลง เรื่องการเช่าและซื้อขายที่ดินดังกล่าว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เจรจาติดต่อกันนั้นได้ใช้บ้าน ร. มารดาจำเลยเป็นสถานที่นัดพบเสมอทั้ง ร. ก็ร่วมเจรจาอยู่ด้วย แม้บางครั้งจำเลยไม่มาแต่ ร. ก็เป็นผู้จัดการแทนจำเลยเพื่อนำไปสู่การทำสัญญาในที่สุด ดังนั้น ข้อตกลงใด ๆ ที่อยู่ในกรอบของการเช่าหรือซื้อขายที่ดินของจำเลยย่อมเห็นเป็นปริยายว่าจำเลยได้เชิด ร. เป็นตัวแทนในการเจรจาตกลงกับโจทก์ ทำให้เจ้าของที่ดินอีก 4 แปลง ตกลงยินยอมให้เช่าและขายที่ดินเรื่องค่านายหน้าก็เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงด้วย แม้มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลผูกพันจำเลยแล้ว ดังนั้น จำเลยต้องให้ค่านายหน้า และเงินค่าที่ดินที่ให้เช่าหรือขายเกินกว่าราคาที่กำหนดแก่โจทก์
ประเด็น : ตกลงให้นายหน้าได้รับค่าบำเหน็จในส่วนที่เกินจำนวนที่ผู้ขายได้กำหนดไว้ แม้ต่อมาจะขายได้ตรงตามจำนวนที่ผู้ขายกำหนด แต่ก็ยังต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่นายหน้าอยู่
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 2199/2535
โจทก์ช่วยติดต่อขายที่ดินให้จำเลยสำเร็จ เป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดย พฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ ถือได้ว่าตกลงกันโดย ปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก ส่วนข้อตกลงให้เงินส่วนที่เกินจากราคาที่ดินที่จำเลยกำหนดไว้ 2,000,000 บาทเป็นค่าบำเหน็จแก่โจทก์นั้นเป็นข้อตกลงพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกัน แม้จำเลยจะขายที่ดินให้แก่ ฉ. ในราคา 2,000,000 บาทก็ตามโจทก์ก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ และเมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใดและไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้โดยชัดแจ้ง ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร
ป.ล. คดีนี้ศาลกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
ประเด็น : โอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินแล้ว เบี้ยวค่านายหน้า ไม่ผิดข้อหาฉ้อโกง แต่สัญญาทางแพ่ง ต้องไปฟ้องคดีกันทางแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2517
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นนายหน้าหาคนซื้อที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ร้อยละ 10 โจทก์ชักนำให้จำเลยที่ 2 ไปซื้อ จำเลยที่ 2 พา บ. และ ก. ไปซื้อ โดยโจทก์เป็นผู้จัดการให้จำเลยที่ 2 นำไปซื้อ ต่อมาเมื่อโจทก์สอบถามจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทุจริตแจ้งข้อความอันเป็นเท็จปกปิดความจริงต่อโจทก์ โดยบอกว่ายังไม่ได้ขายที่ดินให้ใคร ซึ่งความจริงได้ขายให้ บ. และ ก. ไปแล้ว การแจ้งเท็จและปกปิดความจริง ทำให้จำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งค่านายหน้าอันเป็นสิทธิของโจทก์เป็นเงิน 3,500 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ดังนี้ หากจะฟังว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์ตามฟ้องจริง การหลอกลวงเช่นนั้นก็มิได้ทำให้จำเลยได้เงินไปจากโจทก์ซึ่งอ้างว่าถูกหลอกลวงหรือจากบุคคลที่สามแต่อย่างใด เงินที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ไปนั้นเป็นเพียงเงินค่านายหน้าซึ่งโจทก์ถือว่าตนมีสิทธิจะได้ และจำเลยไม่ชำระให้เท่านั้นเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องว่ากล่าวกันในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง
ประเด็น : ทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายที่ดิน จนผู้ซื้อกับผู้ขายสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้ขายไม่ชำระค่านายหน้า สามารถเรียกร้องได้ในอัตรา 5% ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526
ค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันเป็นพิเศษจะต้องกำหนด กันไว้โดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามบทบัญญัติมาตรา 846 วรรคสอง แห่งป.พ.พ. เมื่อทางพิจารณาไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนด ค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมซึ่งได้ความว่าจำนวนร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง
ประเด็น : จัดการไม่เสร็จภายในกำหนด ไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5419/2537
สัญญานายหน้าระบุว่า มอบให้นายหน้าไปจัดการจดทะเบียนให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญา แสดงว่าคู่สัญญามีเจตนากำหนดเวลาไว้แน่นอนว่าต้องจดทะเบียนให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาถือเป็นสาระสำคัญของสัญญานายหน้า เมื่อนายหน้าไม่สามารถจัดการให้มีการจดทะเบียนซื้อขายภายในกำหนด โดยไม่ปรากฏว่ามีการผ่อนเวลาตามสัญญาออกไปอีก สัญญาจึงสิ้นสุดลงไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา
ประเด็น : ชี้ช่วงไม่สำเร็จ ไม่มีสิทธิรับเงินค่านายหน้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7550/2550
จำเลยทั้งห้าตกลงมอบหมายให้โจทก์ไปติดต่อขายที่ดินทั้งห้าแปลง โจทก์จึงได้ไปติดต่อขายที่ดินให้แก่ ส. แต่ที่โจทก์นำสืบว่า ส. ไปตรวจดูที่ดินแล้วพอใจ ส. และจำเลยทั้งห้าจึงตกลงทำสัญญาซื้อขายกันที่บ้านของ ส. โดยโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาซื้อขายด้วยนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะโจทก์ไม่มีหลักฐานสัญญาซื้อขายที่กล่าวอ้างมาแสดง คงมีแต่คำเบิกความลอยๆ เท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำงานเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ได้ติดต่อกับ ส. และจำเลยทั้งห้าเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายที่ดินนี้อีก ข้อเท็จจริงจึงเชื่อตามที่จำเลยทั้งห้านำสืบต่อมาโดยมีหลักฐานเป็นพยานเอกสารสนับสนุนว่า อ. บุตรเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับ ส. ต่อมา โดย ส. อ้างว่าไม่มีเงินมาซื้อที่ดินทั้งห้าแปลงของจำเลยทั้งห้า แต่ถ้าจะนำที่ดินมาร่วมลงทุนกันและหากำไรมาแบ่งกันก็สามารถทำได้ ข้อตกลงที่ว่าให้นำที่ดินมาร่วมลงทุนและหากำไรมาแบ่งกัน จึงเป็นข้อตกลงและวัตถุประสงค์ใหม่ซึ่งจำเลยทั้งห้าต้องนำไปปรึกษาหาหรือกันและตัดสินใจกันใหม่ว่าจะรับข้อเสนอใหม่นี้หรือไม่ แสดงว่าการชี้ช่องของโจทก์ที่ต้องการให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินให้แก่ ส. นั้นไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจาก ส. ไม่มีเงินซื้อ การตกลงนำที่ดินเข้าร่วมลงทุนกับ ส. แล้วนำกำไรมาแบ่งกันภายหลัง จึงเป็นวัตถุประสงค์ใหม่ของจำเลยทั้งห้าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์และไม่อยู่ในกรอบวัตถุประสงค์เดิม เพราะการเข้าร่วมลงทุนนั้นเป็นการนำเอาที่ดินของจำเลยทั้งห้ามาเข้าร่วมกับ ส. และให้ ส. เป็นผู้บริหารจัดการโดยจำเลยทั้งห้าได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของโดยรับหุ้นของบริษัท บ. ของ ส. ซึ่งเป็นข้อตกลงใหม่ การเข้าร่วมลงทุนกับ ส. ตามข้อตกลงใหม่ดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าขายที่ดินได้สำเร็จแล้วด้วยการชี้ช่องของโจทก์ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการขายที่ดินในรูปแบบใหม่ ซึ่งในที่สุดข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าทราบว่าถูก ส. หลอกลวง จำเลยทั้งห้าจึงได้ฟ้องเรียกที่ดินทั้งห้าแปลงคืนจากบริษัท บ. และ ส. กับพวก และศาลพิพากษาตามยอมให้คืนที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวแก่จำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์สามารถชี้ช่องให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินตามฟ้องจนสำเร็จวัตถุประสงค์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลยทั้งห้าตามที่ตกลงกัน
ประเด็น : หากผู้ซื้อผิดสัญญา ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าพิเศษ(ตกลงพิเศษเพิ่มเติมต่อแปลง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6446/2540
ตามบันทึกข้อตกลงท้ายสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ป. ผู้ขายกับจำเลย ผู้ซื้อระบุว่า จำเลยต้องการให้โจทก์เป็นนายหน้า หรือตัวแทนในการขายที่ดินให้กับบริษัท ค. หากจำเลยขายให้กับทางบริษัท ค. ได้ จำเลยสัญญาว่าจะจัดค่านายหน้าให้กับโจทก์ 20,000 บาท ต่อไร่ของที่ดินทุกๆ แปลง ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการกำหนดค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากข้อตกลงให้ค่าบำเหน็จนายหน้า 3 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเงื่อนไขว่า จำเลยจะจ่ายให้แก่โจทก์ในอัตราไร่ละ 20,000 บาท ต่อเมื่อโจทก์ดำเนินการให้จำเลยขายที่ดินดังกล่าวได้จนเป็นผลสำเร็จ คือ ถ้าจำเลยขายที่ดินได้เงินมาในราคาไร่ละ 150,000 บาท ก็จะจัดให้โจทก์ได้ราคาส่วนเกินจากราคาที่จำเลยต้องการขาย ในราคาไร่ละ 130,000 บาท โดยโจทก์จะได้ค่าตอบแทนพิเศษไปในอัตรา 20,000 บาท ต่อไร่ ตามที่ขายได้เมื่อโจทก์เพียงแต่จัดให้จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับ พ.กรรมการบริษัท ค. แต่ต่อมา พ. ผู้จะซื้อผิดสัญญา จนมีการเลิกสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวไปแล้ว กรณีจึงหาได้มีการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอันจะทำให้จำเลยได้รับเงินตามราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินส่วนเกินหรือค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ในท้ายสัญญาซื้อขายที่ดินแก่โจทก์
ประเด็น : ตกลงจ่ายค่านายหน้า 2 ประเภท ได้แก่ ร้อยละ 5 ของราคาซื้อขาย กับส่วนเกินที่ผู้ขายกำหนด แม้ยกเลิกสัญญาซื้อขายกัน นายหน้ายังมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2522
จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินให้ สัญญาจะให้ค่านายหน้าแก่โจทก์สองจำนวน คือ ถ้าโจทก์ขายได้ราคาเกินกว่า 3,500,000 บาท ส่วนที่เกินนั้นเป็นของโจทก์จำนวนหนึ่ง กับบำเหน็จร้อยละ 5 ของราคา 3,500,000 บาท อีกจำนวนหนึ่งโจทก์ได้ชี้ช่องให้จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวกับผู้ซื้อแล้ว ในราคา 5,000,000 บาท เช่นนี้ถือได้ว่าได้มีการทำสัญญากันเป็นผลสำเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องหรือจัดการแล้ว แม้จำเลยจะตกลงเลิกสัญญากับผู้จะซื้อในภายหลัง โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าอัตราร้อยละ 5 ของราคาที่ดิน 3,500,000 บาทจากจำเลย ส่วนเงิน 1,500,000 บาท อีกจำนวนหนึ่งเป็นข้อตกลงพิเศษอีกส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกันได้กับข้อตกลงให้ค่าบำเหน็จนายหน้าร้อยละ 5 ค่าบำเหน็จส่วนนี้คู่สัญญาตกลงกันว่าถ้าโจทก์ขายได้สูงกว่านั้นก็ให้โจทก์รับไป ย่อมมีความหมายว่าหากมีการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอันเป็นผลจากที่โจทก์เป็นนายหน้าชี้ช่องหรือจัดการ กรณีนี้คู่กรณีตกลงเลิกสัญญากันหาได้มีการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินส่วนเกินนั้นแก่โจทก์
ประเด็น : คดีนายหน้า อายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5103/2539
โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าบำเหน็จนายหน้าโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความเกี่ยวกับนายหน้าไว้เป็นพิเศษแต่อย่างใดจึงต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6952/2552
โจทก์ฟ้องเรียกค่าบำเหน็จและเงินส่วนเกินตามสัญญานายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 845 มิได้ฟ้องเรียกเอาสินจ้างจากการรับทำการงาน สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมิได้มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี ตามมาตรา 193/30
ประเด็น : ไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งหรือปริยายให้ทำหน้าที่นายหน้า จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2505
บุคคลผู้ที่จะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งหรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้นถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กันดุจกล่าวมาแล้วก็ไม่จำต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้า
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 845 บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดได้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทำกันสำเร็จ
มาตรา 846 ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า
ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม
มาตรา 847 ถ้านายหน้าทำการให้แก่บุคคลภายนอกด้วยก็ดี หรือได้รับคำมั่นแต่บุคคลภายนอกเช่นนั้นว่าจะให้ค่าบำเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระทำการโดยสุจริตก็ดี เป็นการฝ่าฝืนต่อการที่ตนเข้ารับทำหน้าที่ไซร้ ท่านว่านายหน้าหามีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปไม่
มาตรา 848 ตัวนายหน้าไม่ต้องรับผิดไปถึงการชำระหนี้ตามสัญญาซึ่งได้ทำต่อกันเพราะตนเป็นสื่อ เว้นแต่จะมิได้บอกชื่อของฝ่ายหนึ่งให้รู้ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง
มาตรา 849 การรับเงินหรือรับชำระหนี้อันจะพึงชำระตามสัญญานั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่านายหน้าย่อมไม่มีอำนาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายความ
1. ก่อนฟ้องควรมีหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้ชำระค่านายหน้า ก่อนเสมอ
2. ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีของค่านายหน้า นับตั้งแต่วันที่โอนกรรมสิทธิ์
3. สัญญานายหน้า จะทำเป็นหนังสือหรือวาจาก็ได้ แต่ควรทำเป็นหนังสือ เพื่อประโยชน์ในการฟ้องคดี เพราะผู้ว่าจ้างอาจปฏิเสธว่าไม่มีนิติสัมพันธ์ได้ ซึ่งจะทำให้ศาลพิพากษายกฟ้อง อ้างอิง ฎ.794/2557
4. หากตกลงกันไว้ในสัญญาหรือไม่ได้ตกลงก็ตาม แม้ว่าการขายฝากจะไม่ได้สำเร็จลุล่วง นายหน้าสามารถเรียกค่าใช้จ่ายที่เสียไปล่วงหน้าได้ เช่น ค่าโฆษณาเว็บไซต์ ค่าป้ายประชาสัมพันธ์ ค่าเดินทาง เป็นต้น
5. ปกติค่านายหน้าจะตกลงจ่ายกันในวันนัดโอนกรรมสิทธิ์
6. การร่างคำฟ้อง จะต้องระบุให้ชัดเจนว่า "มีการมอบหมายหรือข้อตกลงให้เป็นนายหน้ากันอย่างไร"
ค่าบริการว่าความ คดีนายหน้า |
|
รูปแบบคดี |
ราคา(เริ่มต้น) |
♦ ยื่นฟ้อง / ต่อสู้คดี |
-X- |
♦ บริการร่างสัญญาค่าบำเหน็จนายหน้า |
-X- |
รับว่าความทั่วประเทศ คดีผิดสัญญานายหน้า ขายที่ดิน คอนโด บ้าน โรงงาน เรียกค่านายหน้า ค่าบำเหน็จ ค่าคอมมิชชั่น
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย
ทนายธนู Tel. 083 4248098
LINE ID : @tn13
เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.00 - 20.00 น.
ช่องทางการติดต่อ กดที่ไอคอน

ลงค่านายหน้าด้วยวาจาและได้พาคนไปซื้อเป็นเงินสดรับรถไปเป็นที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ได้ค่านายหน้าควรดำเนินการต่ออย่างไรกับเซลล์คะ
- กรณีนี้หากรายใดรายหนึ่งขายสินทรัพย์ได้ เราต้องจ่ายค่านายหน้าอีกรายไหมครับ กล่าวคือต้องจ่ายทั้ง 2 ราย ไม่ว่ารายใดจะขายได้ก็ตาม
ตามกฎหมาย ก็ฟ้องร้องเรียกเงินค่าบำเหน็จได้ แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว จะไม่คุ้ม เพราะจำนวนเงินไม่ค่อยเยอะ
ความคิดเห็นส่วนได้ สามารถทำได้ทั้ง 2 รายเลยครับ เพราะยังไงก็จะต้องรายให้คนที่ชี้ช่องจริงๆ ส่วนรายที่ไม่ได้ชี้ช่องก็คงใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าบำเหน็จมา แล้วไปต่อสู้คดีกัน
แก้คำถามใหม่ครับ** ถ้านายหน้าของเรามันหัวหมอ เอาสำเนาบัตรประชาชนที่มีลายเซ็นต์เราไปเขียนสัญญาค่านายหน้าไว้ในนั้นแล้วฟ้องเรา โดยที่ในความจริงมันบอกขายจริงไปในราคา ขาย 7,700,000 แล้วมันก็ให้คนซื้อ โอนให้เรา 7,500,000 อีกส่วน มันก็ให้คนซื้อโอนให้มัน 200,000 เรากับมันเข้าใจตรงกันตามนั้น แต่พอเวลาผ่านไป จู่ๆ มันไปเขียนใส่สำเนาบัตรประชาชนของเราทีหลัง ว่า หากเราขายที่ดินได้ในราคามากกว่า 7,000,000 เราจะให้ค่านายหน้ามัน ห้าแสน (มันเขียนเองหมดเลย โดยมาเขียนเป็นข้อความใส่ลงไปในสำเนา บชช ของเราทีหลัง) แล้วมันก็เอาหลักฐานปลอมนั้นไปถ่ายเอกสารทำหนังสือฟ้องเรา โดยมันเก็บตัวจริงไว้ กรณีเราทำยังไงได้บ้างครับ
ตอบ --- สามารถต่อสู้คดีได้ครับ เพราะเอกสารข้อความนั้น ไม่ใช่ลายมือของคุณ