เพิกถอนจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี
คดียื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเลิก เสร็จการชำระบัญชีของบริษัท ห้างหุ้นส่วน
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนใด ยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกบริษัท และหรือเสร็จการชำระบัญชีต่อนายทะเบียนไปแล้ว ต่อมาพบว่ายังมีทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องอื่นใดที่จำเป็นต้องจัดการแบ่งปันคงเหลืออยู่ หรือมีข้อบกพร่องปรากฎขึ้น จึงถือว่าบริษัทยังไม่ได้รับการชำระสะสางให้เสร็จสิ้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1250
ผู้ชำระบัญชีจะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี พร้อมตั้งตนให้มีอำนาจจัดการให้เสร็จสิ้นต่อไป
เหตุที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตได้ คือ เพื่อความยุติธรรม บริษัทมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินจำเป็นต้องบริหารจัดการหรือทำนิติกรรมตามกฎหมาย
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง
1. ผู้เป็นหุ้นส่วน ผู้ชำระบัญชี
2. กรรมการ ผู้ถือหุ้น ผู้ชำระบัญชี หรือผู้รับมอบอำนาจ
3. เจ้าหนี้ (กรมสรรพากร เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือผู้รับโอนสิทธิในหนี้สิน)
เอกสารประกอบ
1. หนังสือรับรองนิติบุคคลบริษัท / ห้างหุ้นส่วน
2. บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น แบบ บอจ.5 (ฉบับยื่นไว้ล่าสุด) / รายการจดทะเบียนของห้างหุ้นส่วน
3. รายงานการชำระบัญชี / คำขอจดทะเบียนเลิกบริษัท ห้างหุ้นส่วน
4. งบแสดงฐานะการเงิน
5. สำเนาบัตรประชาชนผู้ชำระบัญชี
6. หนังสือให้ความยินยอม พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนกรรมการ / หุ้นส่วน
7. รายการทรัพย์สินของนิติบุคคล (ถ้ามี) เช่น โฉนดที่ดิน น.ส.3ก ใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ บัญชีเงินฝากธนาคาร เงินวางประกัน เงินประกัน เป็นต้น
แจ้งเพิ่มเติม
รายการที่ 1. - 5. ทนายจัดเตรียมไว้ให้
รายการที่ 6. ทนายจัดทำให้
ค่าธรรมเนียมศาล
1. ค่าขึ้นศาล 200 บาท
2. ค่าส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ 320 บาท
หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ตามอัตราของศาล (500-700 บาท)
3. ค่าประกาศโดยวิธีลงโฆษณาผ่านสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ E-Notice system ฟรี
4. ค่าส่งหมายนัดไต่สวนและสำเนาคำร้องให้กรรมการ ผู้ถือหุ้น ตามอัตราของศาล (500 - 700 บาท)
5. ค่าคัดถ่ายเอกสารจาก DBD 500 บาท
เขตอำนาจศาล
: ศาลจังหวัด ซึ่งที่ตั้งสำนักงานใหญ่บริษัท ห้างหุ้นส่วน อยู่ในเขตอำนาจ
ที่อยู่ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร
เลขที่ 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000
ที่อยู่ นายทะเบียน สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
ตรวจสอบได้ที่ ลิงค์ https://province.moc.go.th/center/
ขั้นตอนการนำส่งคำสั่งศาลให้แก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท
เอกสารประกอบ จำนวนอย่างละ 1 ชุด
1. สำเนาคำสั่งศาล พร้อมเจ้าหน้าที่ศาลรับรอง
2. สำเนาหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด พร้อมเจ้าหน้าที่ศาลรับรอง
3. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ชำระบัญชีหรือผู้มีอำนาจกระทำการแทน
4. ข้อมูลบริษัท
5. หนังสือมอบอำนาจ
6. แบบฟอร์มนำส่งคำสั่งศาล
ภายหลังการยื่นเรื่อง 1 สัปดาห์ ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะแก้ไขสถานะนิติบุคคลให้ โดยจะระบุว่า "ยังดำเนินการกิจการอยู่"
***แจ้งนายทะเบียนด้วยว่าให้ระบุชื่อผู้ชำระบัญชีด้วย มิฉะนั้นไปติดต่อหน่วยงานรัฐจะถูกปฏิเสธได้
สถานที่ยื่น
1. เขตพื้นที่ กทม. ต้องยื่นตามเขตพื้นที่ จำนวน 6 ที่ หรือกองทะเบียนธุรกิจ ชั้น 9 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
2. สำหรับต่างจังหวัด สามารถยื่นเรื่องได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฎีกา ที่น่าสนใจ
ประเด็น : ผู้ชำระบัญชีในฐานะผู้ร้อง ยื่นเป็นคำร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3302/2553
ผู้ร้องเคยเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท ย. และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1270 ให้ถือว่าเป็นที่สุดแห่งการชำระบัญชี แต่ก็มิได้หมายความว่าหากได้จดทะเบียนแล้ว หากมีเหตุจำเป็นขัดข้องจากการชำระบัญชีกิจการของบริษัทแต่เดิมแล้วจะมีการชำระบัญชีเพิ่มเติมใหม่อีกไม่ได้ ซึ่งก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดห้ามไว้ นอกจากนี้หากกรณีมีมูลเหตุข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าหลังจากจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว ผู้ร้องตรวจสอบพบว่ายังมีที่ดินที่บริษัท ย. ถือกรรมสิทธิ์อยู่อีก 2 แปลง กรณีจะดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทที่ยังคงหลงเหลืออยู่โดยมิได้มีการชำระบัญชีด้วยวิธีการเช่นใด ในเมื่อบริษัทมิได้ยังคงตั้งอยู่แต่สิ้นสภาพความเป็นนิติบุคคลไปแล้ว และย่อมกระทบกับสิทธิที่จะได้รับแบ่งคืนทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นอีกด้วย ดังนั้น คดีมีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีและแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท ย. ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
ประเด็น : เจตนารมณ์ของกฎหมาย นิติบุคคลจะเลิกกันต้องเป็นการชำระบัญชี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4466/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1249 บัญญัติว่า "ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี" กับมาตรา 1250 บัญญัติว่า "หน้าที่ของผู้ชำระบัญชี คือ ชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นให้เสร็จไป กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น" บทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าว ชี้ชัดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งประสงค์ให้นิติบุคคลซึ่งเป็นบุคคลสมมุติจะเลิกได้นั้นจะต้องมีการชำระบัญชี เพื่อมีการชำระหนี้เงินให้แก่เจ้าหนี้ และแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของนิติบุคคลนั้นแล้วแต่กรณี จึงได้กำหนดหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีไว้ชัดแจ้ง เพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้และบังคับให้ผู้ชำระบัญชีต้องปฏิบัติอันจะส่งผลก่อเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่มีนิติสัมพันธ์กับนิติบุคคล ยิ่งไปกว่านั้นรัฐยังได้ตรา พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 ซึ่งมีโทษทางอาญากำกับไว้อีกด้วย โดยมาตรา 32 บัญญัติระวางโทษปรับไม่เกิน 80,000 บาท แก่ผู้ชำระบัญชีที่ไม่กระทำตาม ป.พ.พ. มาตรา 1253 ซึ่งกำหนดหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีจะต้องกระทำ เช่น ต้องส่งคำบอกกล่าวว่านิติบุคคลนั้นได้เลิกกันแล้วเป็นจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์ไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายทุกๆ คน บรรดามีชื่อปรากฏในสมุดบัญชีหรือเอกสารของห้างหรือบริษัทนั้น ในการชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ผู้ชำระบัญชีจำเลยที่ 1 คือ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และร่วมเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์จงใจไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ส่งคำบอกกล่าวการเลิกบริษัทแก่โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้ใช้สิทธิยื่นคำทวงหนี้แก่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีและตามพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ดำเนินการชำระบัญชีโดยไม่สุจริต มีเจตนาฉ้อฉลต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ จึงต้องถือว่าการชำระบัญชียังไม่สำเร็จลงตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1270 วรรคหนึ่ง
การที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนการชำระบัญชีไม่ว่าจะโดยสมรู้กับจำเลยที่ 2 หรือเป็นการหลงผิดก็ไม่ถือว่าการชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ได้ถึงที่สุดแล้ว แต่ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีตามมาตรา 1249 อายุความสองปีตามมาตรา 1272 จึงยังไม่เริ่มนับ คดีโจทก์ย่อมไม่ขาดอายุความตามบทบัญญัตินี้
โจทก์หาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อสั่งให้นายทะเบียนจดชื่อจำเลยที่ 1 กลับคืนเข้าสู่ทะเบียนนิติบุคคลตามมาตรา 1246 (6) (มาตรา 1273/4 ตามที่แก้ไขใหม่) ทั้งนี้เพราะกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องนายทะเบียนบริษัทมีมูลเหตุอันสมควรเชื่อว่าบริษัทใดมิได้ทำการค้าขายหรือประกอบการงานแล้ว บทบัญญัติในมาตรา 1246 (1) (มาตรา 1273/1 ตามที่แก้ไขใหม่) จึงต้องกำหนดให้นายทะเบียนมีจดหมายไต่ถามไปยังบริษัทนั้น ซึ่งต่างกับเหตุในคดีนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายแสดงเจตนาเลิกบริษัทเอง
ประเด็น : โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนได้ เมื่ออยู่ระหว่างดำเนินคดีแล้วจำเลยจดทะเบียนเลิก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2561
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอยู่ระหว่างฟ้องคดีเรียกให้บริษัทรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิด ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว บริษัทลูกหนี้จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหายไม่อาจดำเนินคดีต่อไปได้ เจ้าหนี้จึงมาเป็นโจทย์ฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อบริษัทถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิด แม้ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดเกี่ยวกับความรับผิดของบริษัท แต่ก็เป็นหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นซึ่งต้องเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินตามมาตรฐานการบัญชี การที่บริษัทยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และต่อมาได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี โดยจัดส่งรายงานการชำระบัญชี ซึ่งรวมถึงงบการเงินเพื่อประกอบการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากที่บริษัทถูกฟ้องดำเนินคดีแพ่ง โดยไม่ปรากฏว่ามีการระบุหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นกรณีบริษัทถูกฟ้องและดำเนินคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน จึงเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี เชื่อได้ว่าการชำระบัญชี กระทำไปโดยไม่สุจริต ต้องถือว่าการชำระบัญชียังไม่สำเร็จลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1270 วรรค 1 ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ให้ผู้ชำระบัญชีดำเนินการชำระบัญชีต่อไป โดยถือว่าบริษัทยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรา 1249 ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี แม้จะได้เลิกกันแล้ว ก็ให้พึงถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี
มาตรา 1250 หน้าที่ของผู้ชำระบัญชี คือชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นให้เสร็จไป กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น
มาตรา 1259 ผู้ชำระบัญชีทั้งหลายย่อมมีอำนาจดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) แก้ต่างว่าต่างในนามของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทในอรรถคดีพิพาทอันเป็นแพ่งหรืออาชญาทั้งปวง และทำประนีประนอมยอมความ
(2) ดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทตามแต่จำเป็น เพื่อการชำระสะสางกิจการให้เสร็จไปด้วยดี
(3) ขายทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
(4) ทำการอย่างอื่น ๆ ตามแต่จำเป็น เพื่อชำระบัญชีให้เสร็จไปด้วยดี
***มาตรา 1270 เมื่อการชำระบัญชีกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทสำเร็จลง ผู้ชำระบัญชีต้องทำรายงานการชำระบัญชีแสดงว่า การชำระบัญชีนั้นได้ดำเนินไปอย่างใด และได้จัดการทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นไปประการใด แล้วให้เรียกประชุมใหญ่เพื่อเสนอรายงานนั้น และชี้แจงกิจการต่อที่ประชุม
เมื่อที่ประชุมใหญ่ได้ให้อนุมัติรายงานนั้นแล้ว ผู้ชำระบัญชีต้องนำข้อความที่ได้ประชุมกันนั้นไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันประชุม เมื่อได้จดทะเบียนแล้วดังนี้ให้ถือว่าเป็นที่สุดแห่งการชำระบัญชี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 4 เบญจ คำร้องขอเพิกถอนมติของที่ประชุมหรือที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคล คำร้องขอเลิกนิติบุคคล คำร้องขอตั้งหรือถอนผู้ชำระบัญชีของนิติบุคคล หรือคำร้องขออื่นใดเกี่ยวกับนิติบุคคล ให้เสนอต่อศาลที่นิติบุคคลนั้นมีสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ในเขตศาล
***ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1/2533 Click Link
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายความ
1. คำร้องในการเริ่มคดีอย่างไม่มีข้อพิพาทที่ศาลจังหวัด หรือฟ้องเพิกถอนคำสั่งศาลปกครองกรณีเจ้าหน้าที่บกพร่องในหน้าที่
2. เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้อง ผู้ร้องต้องวางเงินค่านำหมายนัดสำเนาให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และผู้ถือหุ้น เพื่อให้ทราบและใช้สิทธิคัดค้าน
3. เมื่อศาลมีคำสั่งตามขอ หลังจากนั้น 1 เดือนจึงคัดคำสั่งศาลพร้อมหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เพื่อนำไปยื่นให้นายทะเบียนเพิกถอนการจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อไป
4. นายทะเบียนเมื่อได้รับคำสั่งศาลแล้ว จะมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเลิกบริษัท และแก้ไขข้อมูลรายการทะเบียนในหนังสือรับรอง พร้อมกับนำไปลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
5. ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 3 - 4 เดือน
ค่าบริการว่าความ คดีเพิกถอนการจดทะเบียนเลิกบริษัท เสร็จการชำระบัญชี |
|
รูปแบบคดี |
ราคา(เริ่มต้น) |
♦ ยื่นคำร้องต่อศาล |
-X- |
♦ นำส่งคำสั่งแก่นายทะเบียน DBD |
-X- |
รับว่าความทั่วประเทศ ทนายคดีฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนเลิกบริษัท เสร็จการชำระบัญชี
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย
ติดต่อทนายธนู โทร 083 4248098
LINE ID : @tn13
เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.00 - 20.00 น.
ช่องทางการติดต่อ กดที่ไอคอน
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments