ขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์
คดีขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ จัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์
ทรัพย์สินของผู้เยาว์ หากยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือจดทะเบียนสมรสเมื่ออายุครบ 17 ปี) จะทำนิติกรรมย่อมต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้ใช้อำนาจปกครองเสียก่อน หรือให้ผู้แทนโดยชอบธรรมจัดการแทนให้ เว้นแต่ "พินัยกรรม" ผู้เยาว์ทำได้เมื่ออายุ 15 ปี บริบูรณ์
เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ 13 ประการ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาตเสียก่อน เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของกิจการบางอย่างที่สำคัญของผู้เยาว์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 บัญญัติ ไว้ดังนี้
นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือ โอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(2) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
(3) ก่อตั้งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
(4) จำหน่ายไปทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งสิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มา ซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ หรือสิทธิเรียกร้องที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจาก ทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
(5) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี
(6) ก่อข้อผูกพันใด ๆ ที่มุ่งให้เกิดผลตาม (1) (2) หรือ (3)
(7) ให้กู้ยืมเงิน
(8) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อ การกุศลสาธารณะ เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา ทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
(9) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่ รับการให้โดยเสน่หา
(10) ประกันโดยประการใด ๆ อันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับ ชำระหนี้ หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็นผู้รับชำระหนี้ ของบุคคลอื่นหรือแทนบุคคลอื่น
(11) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์นอกจากในกรณีที่ บัญญัติไว้ใน มาตรา 1598/4 (1) (2) หรือ (3)
(12) ประนีประนอมยอมความ
(13) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
มาตรา 1575 ถ้าในกิจการใด ประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครอง หรือประโยชน์ของคู่สมรสหรือบุตรของผู้ใช้อำนาจปกครองขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์ ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงทำกิจการนั้นได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
เอกสารประกอบการยื่นคำร้อง
1. สูติบัตร ผู้เยาว์
2. ใบสำคัญการสมรส / ใบสำคัญการหย่า บันทึกท้ายทะเบียนการหย่า
3. ทะเบียนบ้าน ผู้ร้อง ผู้เยาว์
4. บัตรประจำตัวประชาชน ผู้ร้อง ผู้เยาว์
5. มรณบัตร (ถ้ามี)
6. โฉนดที่ดิน พร้อมหนังสือรับรองราคาประเมิน ไม่เกิน 3 เดือน
7. ภาพถ่ายทรัพย์สิน
8. หนังสือรับรองเงินเดือน
9. เอกสารการเป็นหนี้สิน เช่น สัญญากู้ยืมเงิน ค่างวดเช่าซื้อรถยนต์ ใบแจ้งยอดหนี้ เป็นต้น
10. หนังสือรับรองสถานศึกษา บัตรประจำตัวนักเรียน
11. ตารางแสดงค่าใช้จ่ายของผู้เยาว
12. หนังสือให้ความยินยอมของผู้เยาว์
13. สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน (ถ้ามี)
ค่าขึ้นศาล : 200 บาท
เขตอำนาจศาล : ศาลเยาวชนและครอบครัว ตามภูมิลำเนาผู้ร้อง หรือที่ดินตั้งอยู่
แนวดุลพินิจของศาล
1. ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้เยาว์มากที่สุด หากไม่จำเป็นจริง ๆ ศาลมักมีความเห็นไม่อนุญาต เช่น ขายที่ดินนำเงินไปเป็นค่าการศึกษาเล่าเรียน หรือค่ารักษาพยาบาลของบุตรผู้เยาว์ เป็นต้น
2. ผู้ปกครองมีหนี้สินจำนวนมาก ไม่สามารถนำมาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ได้
ตัวอย่าง คำพิพากษาศาลฏีกา ที่น่าสนใจ
ประเด็น : ผู้ใช้อำนาจปกครองทำสัญญาซื้อขาย ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 150/2507
ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาอื่นซึ่งผูกมัดให้จำต้องขายที่ดินของผู้เยาว์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลไม่ได้
ประเด็น : สัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์ของผู้เยาว์ไม่ได้กำหนดว่าต้องขออนุญาตจากศาลก่อน ถือว่าไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3169/2524
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรายพิพาทของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่มารดาทำกับโจทก์ ไม่มีเงื่อนไขว่าจะไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินนั้นต่อเมื่อศาลอนุญาตแล้ว เห็นได้ว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาที่จะขออนุญาตต่อศาล จึงไม่สมบูรณ์ผูกพันจำเลย แม้ต่อมามารดาจะยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินรายพิพาทแทนจำเลย และศาลมีคำสั่งอนุญาตก็หาทำให้นิติกรรมซึ่งไม่สมบูรณ์อยู่ก่อนแล้วกลับสมบูรณ์ขึ้นได้ไม่
ประเด็น : สัญญาประนีประนอมยอมความ ในทรัพย์สินของผู้เยาว์ ต้องได้รับอนุญาตจากศาล
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 4860/2548
โจทก์และจำเลยทั้งสิบสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาท 2 แปลง ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง โดยให้โจทก์ได้ที่ดินแปลงละ 1 ไร่ และระบุตำแหน่งที่ดินส่วนของโจทก์ไว้ด้วย อันมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 (12) ในขณะที่จำเลยที่ 12 เป็นผู้เยาว์โดยไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตจากศาล ข้อตกลงในเรื่องการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 เท่ากับว่า กรรมสิทธิ์รวมของจำเลยที่ 12 ยังคงครอบไปเหนือที่ดินพิพาททั้งหมดตามส่วนของตนจนกว่าจะมีการแบ่งแยก ซึ่งมีผลไม่เพียงแต่เฉพาะในเรื่องการกำหนดตำแหน่งของที่ดินเท่านั้น แต่ยังมีผลรวมตลอดไปถึงจำนวนเนื้อที่ดินด้วย เพราะหากแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แปลงละ 1 ไร่ ตามข้อตกลงแล้ว ที่ดินพิพาทในส่วนที่เหลือย่อมจะมีจำนวนลดน้อยลง และไม่อาจนำมาแบ่งให้แก่จำเลยทั้งสิบสองได้ในจำนวนเท่า ๆ กันโดยไม่กระทบถึงสิทธิในจำนวนเนื้อที่ดินที่จำเลยที่ 12 จะพึงได้รับ เมื่อข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 12 และมีผลกระทบถึงจำนวนเนื้อที่ดินตลอดจนตำแหน่งของที่ดินที่จะแบ่งแยกเช่นนี้แล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันไม่อาจแบ่งแยกออกได้จากนิติกรรม ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ได้ร่วมกระทำ ข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ด้วย โจทก์ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสิบสองแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนตามข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 622/2539
โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ยังเป็นผู้เยาว์ การที่โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสามจะตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 และที่ 5แทนผู้เยาว์ทั้งสามซึ่งถือเป็นการทำนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ทั้งสามจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1574(8) เดิม(มาตรา 1574(12) ที่ได้ตรวจชำระใหม่)เมื่อไม่ได้รับอนุญาตจากศาลสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 จึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในอันที่จะใช้สิทธิเรียกร้องค่าขาดไว้อุปการะจากจำเลยที่ 4 และที่ 5 การใช้สิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ที่ 5 และที่ 6 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่5 และที่ 6 ได้มอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 และที่ 5 สัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ที่ 5 และที่ 6
ประเด็น : ให้เช่าที่ดินผู้เยาว์เกิน 3 ปีต้องได้รับอนุญาตจากศาล
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 2170/2516
บิดาทำสัญญาต่างตอบแทนให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์ตลอดชีวิตผู้เช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 การให้เช่ามีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เพียง 3 ปี
ข้อสังเกตุ แม้จะเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา ก็ไม่ผูกพันธ์ผู้เยาว์
ประเด็น : หนังสือรับรองการทำประโยชน์ในทรัพย์สินของผู้เยาว์ ถึงบิดาสละเจตนาครอบครอง ก็ไม่สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5225/2533
การโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เมื่อผู้ขายสละเจตนาครอบครองให้ผู้ซื้อ ผู้ซื้อก็ได้สิทธิครอบครองทันทีโดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บิดาทำสัญญาขายที่ดินของบุตรผู้เยาว์โดยฝ่าฝืน ป.พ.พ.มาตรา 1574(1) สัญญาซื้อขายไม่มีผลผูกพันที่ดินของบุตร
ประเด็น : ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าสินไหมทดแทนในศาล ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน
คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 326/2524
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง การทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจึงเป็นนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของเด็กผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำสัญญาแทนเด็กจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(4)(เดิม) เมื่อบิดาโจทก์ทำสัญญาแทนโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล สัญญาก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคแรก บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ถ้าไม่มีผู้ใดฟ้องคดีอาญา สิทธิของผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีแพ่งเนื่องจากความผิดนั้นย่อมระงับไปตามกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา จึงต้องนำอายุความฟ้องคดีอาญามาใช้บังคับ หากการกระทำของจำเลยเป็นความผิดก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี อายุความจึงมีกำหนดสิบปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ประเด็น : มารดาใช้เงินฟุ่มเฟือย ที่ดินลูกอยู่ในย่านชุมชน มีราคาสูง ศาลจึงไม่อนุญาตให้ขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2527
ผู้ร้องเป็นมารดาผู้เยาว์ได้รับเงิน 4,000,000 บาท เพียงเวลา 2 ปี ก็ใช้จ่ายเงินไปจนหมด โดยไม่มีรายการใดที่แสดงว่าได้ใช้จ่ายไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้เยาว์นอกจากการเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามปกติเท่านั้นมิหนำซ้ำยังก่อหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก 1,400,000 บาท ที่ดินมีโฉนดพร้อมตึกแถว 2 ชั้น อยู่ในแหล่งชุมชนและมีราคาสูง หากยังเป็นของผู้เยาว์อยู่ต่อไปจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่าขาย ศาลจึงไม่อนุญาตให้ผู้ร้องขายทรัพย์ดังกล่าว
ประเด็น : สัญญาที่ทำในขณะเป็นผู้เยาว์ แม้ผู้แทนโดยชอบธรรมและตัวผู้เยาว์เอง จะรู้เห็น ถือเป็นการเลี่ยงกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2537
การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ ผู้เยาว์เองหรือผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 เมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมต้องห้ามโดยกฎหมายมิให้ทำนิติกรรมขายที่ดินซึ่งหมายความรวมถึงนิติกรรมจะขายที่ดินแทนผู้เยาว์โดยลำพังแล้ว จะถือว่าการที่ผู้เยาว์ทำนิติกรรมพร้อมกับผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลว่าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาลก่อน ก็เท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ต้องมาขออนุญาตจากศาล ซึ่งเป็นการผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย สัญญาจะซื้อจะขายที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในขณะที่ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 3 และกรณีมิใช่โมฆียะกรรมแม้ภายหลังจำเลยที่ 3 จะบรรลุนิติภาวะโดยการสมรสจำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจให้สัตยาบันได้ แม้สัญญาจะซื้อจะขายไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงทำให้จำเลยที่ 3 ไม่จำต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 3 ให้แก่โจทก์เท่านั้น ส่วนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ตามสัญญา ทนายโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ทนายโจทก์ได้ย้ายสำนักงานจากที่เดิมไปอยู่สำนักงานแห่งใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้วแต่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ออกหมายนัดส่งให้ทนายโจทก์โดยการปิดหมาย ณ สำนักงานทนายโจทก์แห่งเดิม หาได้ส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์ ณ สำนักงานแห่งใหม่ดังที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไว้ไม่ ทั้งมิได้ส่งหมายนัดให้แก่ตัวโจทก์ด้วยโจทก์จึงไม่ทราบวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงถือไม่ได้ว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังแล้ว ดังนี้ เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่โจทก์ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4984/2537
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ซึ่งผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้เว้นแต่ศาลจะอนุญาตนั้นเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้มีการคุ้มครองทรัพย์สิน และกิจการบางอย่างที่สำคัญของผู้เยาว์ เมื่อศาลได้ไต่สวนแล้วเห็นเป็นการสมควรก็สั่งอนุญาต แล้วผู้แทนโดยชอบธรรมจึงจะอาศัยคำอนุญาตของศาลไปทำนิติกรรมได้ ในเมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมต้องห้ามโดยกฎหมายมิให้ทำนิติกรรมขายที่ดินซึ่งหมายความรวมถึงนิติกรรมจะขายที่ดินแทนผู้เยาว์โดยลำพังแล้ว จะถือว่าการที่ผู้เยาว์ทำนิติกรรมพร้อมกับผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลว่าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ทำได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากศาลก่อนก็เท่ากับเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ต้องมาขออนุญาตจากศาล ซึ่งเป็นการผิดไปจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย ฉะนั้น สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในขณะที่ยังเป็นผู้เยาว์ แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 3 จะทำสัญญาในสัญญาฉบับเดียวกันก็ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 3และกรณีมิใช่โมฆียะกรรม แม้ภายหลังจำเลยที่ 3 จะบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส จำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจให้สัตยาบันได้ การที่จำเลยที่ 3 แม้จะเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับจำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ในสัญญาฉบับเดียวกันแต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หาได้เป็นลูกหนี้ร่วมกันไม่ ดังนั้นแม้สัญญาจะไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงทำให้จำเลยที่ 3ไม่จำต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์เท่านั้นส่วนสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมายจำเลยที่ 2 จึงต้องขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ตามสัญญา
ประเด็น : สัญญาเช่าทรัพย์สินของผู้เยาว์ แม้ไม่ได้รับอนุญาตจากศาล มีผลเพียง 3 ปีเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2516
บิดาทำสัญญาต่างตอบแทนให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ของบุตรผู้เยาว์ตลอดชีวิตผู้เช่าโดยมิได้รับอนุญาตจากศาล เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 การให้เช่ามีผลผูกพันบุตรผู้เยาว์เพียง 3 ปี
จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแต่เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสั่งกำหนดประเด็นนำสืบ ไม่ได้กำหนดประเด็นนำสืบข้อนี้ไว้ และจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้น ดังนี้ จำเลยจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226, 249
ข้อแนะนำเพิ่มเติมจากทนายความ
1. เมื่อศาลได้ไต่สวนแล้ว เห็นเป็นการสมควรก็จะสั่งอนุญาต ผูัแทนโดยชอบธรรมจึงอาศัยคำสั่งอนุญาตของศาลไปทำนิติกรรมได้เลย เว้นแต่ผู้เยาว์อายุเกิน 7 ปี ต้องให้ผู้เยาว์ไปร่วมลงชื่อ ณ สำนักงานที่ดินด้วย ซึ่งในวันขาย จะมีเจ้าหน้าที่สถานพินิจมาควบคุมกำกับดูแลด้วย
2. ผู้ร้องต้องไปให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความเห็นต่อศาล ภายใน 15 วันนับแต่วันยื่นคำร้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำรายงานเสนอศาล
3. การเบิกจ่าย ศาลอาจมีคำสั่งให้ผอ.สถานพินิจฯมีอำนาจจัดการ ควบคุมดูแล และตรวจสอบได้ เว้นแต่ผู้ร้องจะแสดงให้ศาลเห็นว่าการเบิกจ่ายจากสถานพินิจฯนั้นไม่เป็นการสะดวก
4. ให้ผู้เยาว์เบิกความต่อศาล เพื่อยืนยันว่ายินยอมด้วย
5. ผู้จะซื้อทรัพย์สิน ควรไปให้การต่อเจ้าหน้าที่สถานพินิจ และเบิกความยืนยันต่อศาลด้วยว่าซื้อขายในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด
6. สามารถขอขายที่ดินทั้งแปลงหรือบางส่วนก็ได้ กรณีขายบางส่วนต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกไปรังวัดทำแผนที่พิพาทแสดงส่วนที่ดินที่จะขาย และแสดงส่วนที่ดินที่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เยาว์
7. ผู้ร้องควรเป็นฝ่ายผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร
8. หากเกินกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาต จะต้องมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลา (ยื่นก่อนสิ้นสุดเวลา)
ค่าบริการว่าความ คดีร้องขอทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ |
|
รูปแบบคดี |
ราคา(เริ่มต้น) |
♦ ยื่นคำร้องต่อศาล |
-X- |
รับว่าความทั่วประเทศ
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมาย
ติดต่อทนายธนู โทร 083 4248098
LINE ID : @tn13
เปิดบริการทุกวัน เวลา 7.00 - 20.00 น.
ช่องทางการติดต่อ กดที่ไอคอน


ขอถามเป็นความรู้ครับ ปกติตามหลักแล้ว ผู้ปกครองมีหน้าที่ที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรด้วยทรัพย์สินของตนเอง มิใช่ของบุตร เหมือนตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกา 522/2515 ดูจะขัดแย้งกับตัวอย่างข้างต้นที่ศาลมีอนุญาตให้ขายทรัพย์สินได้
ตอบ - การขอขายทรัพย์สินของผู้เยาว์ ต้องเป็นกรณีที่ผู้ปกครองไม่มีทรัพย์สินอื่นมาเลี้ยงดูครับ อยู่ในฐานะยากลำบาก อาจส่งผลเสียสำหรับเด็ก จึงต้องขออนุญาตศาล ซึ่งศาลจะมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้เยาว์ หรือกำหนดมาตรฐานต่างๆในการใช้เงินอย่างระมัดระวังให้ได้ครับ
ขอสอบว่า ฎีกา 5358/2544 สัญญาจะซื้อจะขายผู้เยาว์ทำเอง โดยผู้แทนโดยชอบธรรมเซ็นให้ความยินยอม ศาลฎีกาท่านวินิจฉัยว่าสมบูรณ์ คือแสดงว่าผู้เยาว์ทำนิติกรรมเองได้ใช่ไหมครับ
ตอบ - ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนข้อมูลครับ สำหรับฎีกาดังกล่าว ผมเห็นว่า เป็นการทำสัญญาจะซื้อจะขาย ไม่ใช่การซื้อขายตาม ป.พ.พ. 1574 ฉะนั้นเมื่อไม่ได้ห้าม ผู้เยาว์ทำได้ จึงมีผลผูกพันกันครับ
แต่ข้อแนะนำการทำสัญญากับผู้เยาว์ ถือว่ามีความเสี่ยงมาก